ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วลิเวอร์พูลทีมเดียวกันนี้กำลังอยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลาย..

9 ปีต่อมาทุกอย่างกลับตาลปัตร มูลค่าสโมสรเพิ่มขึ้น 7 เท่าตัว เรียกรายได้จากผู้สนับสนุนมากขึ้นมหาศาล มีงบประมาณลงทุนซื้อนักเตะและขยายความจุอัฒจันทร์ สร้างสนามซ้อมแห่งใหม่

มีแรงดึงดูดนักเตะทั่ววงการ เป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 และกำลังอยู่บนเส้นทางทำความฝันที่รอคอยมา 30 ปีให้เป็นจริง

แล้วสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังเป็นสัปดาห์ที่แฟนบอลลิเวอร์พูลได้รับแต่ข่าวดีๆ นะครับ

เริ่มจากการฉีกหนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกไปเป็น 14 คะแนนในพรีเมียร์ลีก เอาชนะเร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกตามเป้า

เจรจาคว้าตัว ทาคุมิ มินามิโนะ มิดฟิลด์ทีมชาติญี่ปุ่นของซัลซ์บวร์กที่หากไม่มีอะไรผิดพลาด มกราคมนี้จะได้เปิดตัวดาวเตะคนใหม่รายนี้แน่นอน

จากนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ เจมส์ มิลเนอร์ ก็ต่อสัญญากับสโมสรออกไปทั้งคู่ แล้วยังสมบูรณ์แบบด้วยสามคะแนนเหนือวัตฟอร์ดกับผลเสมอของเลสเตอร์ที่คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม

เตะ 17 ชนะ 16 เสมอ 1 ทิ้งอันดับสอง 10 คะแนน

จาก Doubter สู่ Believer

ช่างเป็นบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมก่อนเดินทางไปกาตาร์เพื่อทำศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลก รายการที่ลิเวอร์พูลยังไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยจากการเข้าร่วมชิงชัย 3 ครั้ง

    ผมคิดว่าเดอะค็อปนั้นได้พบกับหนึ่งในฤดูกาลที่สวยงามที่สุดไปเรียบร้อยแล้วนะครับแม้ซีซั่น 2019/20 นี้จะยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งทาง และยังเหลือเส้นทางอีกไกลจริงๆ กว่าที่ทุกอย่างจะได้บทสรุปซึ่งโอกาสพลิกผันก็ยังเป็นไปได้

กระนั้นความสำเร็จก็เป็นแค่เรื่องหนึ่ง โทรฟี่แชมป์อาจจะเป็นสิ่งยืนยันความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดและนาทีนี้ลิเวอร์พูลยังไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นแชมป์รายการใดเลยนอกจากยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ช่วงก่อนเปิดฤดูกาลก็จริง ทว่าสิ่งที่ทีมหงส์แดงก้าวไปถึงแล้วก็คือมาตรฐานของทีมระดับท็อปของวงการ

พวกเขาเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อนแล้วแต่ห่างหายไปนานมาก

เอาความรู้สึกเพียวๆ มาวัด นับตั้งแต่ดิวิชั่นหนึ่งเดิมเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 1992/93 ลิเวอร์พูลไม่เคยสร้างความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจให้กับแฟนบอลได้อย่างนี้เลย

เดอะค็อปจะมีอาการไม่แน่ใจในผลงานของทีมตัวเองเสมอ ไม่มั่นใจว่าจะชนะได้แน่ทั้งๆ ที่เจอคู่ต่อสู้ที่น่าชนะ ไม่มีความรู้สึกอุ่นใจตั้งแต่ก่อนการแข่งขันด้วยเพราะผลงานที่ไม่เคยสม่ำเสมอเลยนั่นแหละตามหลอกหลอนตลอดเวลา

เพราะลิเวอร์พูลพร้อมจะโค่นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมแดงเดือดเพียงเพื่อมาแพ้ทีมอย่างมิดเดิ้ลสโบรช์ในเกมถัดมา พร้อมที่จะสร้างเกมแห่งความประทับใจซัดอาร์เซน่อลหมอบกระแตแล้วก็ไปแพ้วีแกนแบบไม่มีเหตุผล

พร้อมที่จะดับซ่าเชลซี สเปอร์ส หรือนิวคาสเซิ่ลยุคล่าแชมป์ แล้วไปเสียแต้มง่ายๆ ให้ทีมอย่างสโต๊ค ฟูแล่ม หรือ ฮัลล์ ซิตี้ พร้อมที่จะยัดเยียดความปราชัยให้แมนฯ ซิตี้ที่ไร้เทียมทานก่อนจะไปพังที่สวอนซีไม่มีปี่มีขลุ่ยเพียงไม่กี่วันให้หลัง

ก็เพราะลิเวอร์พูลเป็นอย่างนี้มาตลอด จะยุคสไปซ์บอย ยุคห้าแชมป์ ยุคเจ้ายุโรป ยุคตอร์เรส ยุคซัวเรซ ยุคดัลกลิชสมัยสอง ความไม่สม่ำเสมอคืออุปสรรคสู่ความสำเร็จจนกลายเป็นของแสลงของเดอะค็อปโดยไม่รู้ตัว

    จาก Believer กลายเป็น Doubter..

ไม่กล้าเชื่อในตัวเอง ไม่กล้าเชื่อในทีม ไม่กล้าเชื่อว่าขุนพลหงส์แดงจะชนะ และชนะ และชนะ และชนะ เกมใหญ่ชนะ เกมเล็กชนะ เล่นดีชนะ เล่นแย่ก็ยังชนะ

ครั้งสุดท้ายที่มีความรู้สึกแบบนี้ เดอะค็อปมากมายยังไม่ลืมตาดูโลก

ผมคิดว่ามันอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 80 ต่อเนื่องต้น 90 ที่ลิเวอร์พูลยังกอบโกยความสำเร็จอย่างสนุกสนาน ครอบครองความยิ่งใหญ่อยู่แทบจะข้างเดียว

ฟุตบอลลีกในช่วงนั้นยังไม่เรียกร้องอะไรมากมายจากทีมที่จะเป็นแชมป์ คุณสามารถเป็นแชมป์โดยแพ้ได้ถึง 7 หรือ 8 นัดด้วยซ้ำ

เอฟเวอร์ตัน แชมป์ 1986/87 แพ้ 8 เกม อาร์เซน่อล แชมป์ 1988/89 แพ้ 6 เกม ลีดส์ ยูไนเต็ด แชมป์ 1991/92 แพ้ 4 เกม

แมนฯ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 1992/93 ก็แพ้ถึง 6 เกม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 1994/95 แพ้ 7 เกม

กระทั่งลิเวอร์พูล 1985/86 ที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ก็แพ้ 6 เกม หรือย้อนกลับไปซีซั่น 1983/84 ที่ซิวทริปเปิ้ลแชมป์ทั้งดิวิชั่นหนึ่ง-ลีกคัพ-ยูโรเปี้ยนคัพก็ยังแพ้ 6 เกมในลีกเช่นกัน

เวลาผ่านไป 2 ทศวรรษ พรีเมียร์ลีกต้องการอะไรจากคุณมากกว่าเดิมถึงจะยอมมอบแชมป์ให้ หงส์แดง 2008/09 แพ้แค่ 2 เกมกวาด 86 คะแนนยังไม่ได้แชมป์ว่าช้ำแล้ว หงส์แดง 2018/19 แพ้แค่เกมเดียวโกย 97 คะแนนก็ยังไม่ได้แชมป์อีกยิ่งช้ำกว่า

กระนั้นฤดูกาลล่าสุดที่ไม่ได้แชมป์แม้จะบอกว่าเป็นความช้ำแต่มันก็ช้ำแบบที่เดอะค็อปสัมผัสได้ถึงความหวังพิเศษ มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ จะว่าเสียดายก็ใช่ เสียใจก็ไม่ผิด แต่มันมีความตื้นตันและภาคภูมิใจซ่อนอยู่

โดยเฉพาะช่วงรันยาวบนเส้นทางเบียดแย่งแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ขับเคี่ยวกันเกมต่อเกม เราชนะ นายชนะ นายชนะ เราชนะ ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงภาพที่เดอะค็อปไม่ได้เห็นมานานแล้วจริงๆ นานมาก นานจนลืม

นั่นคือลิเวอร์พูลที่ความกดดันทำอะไรไม่ได้ ลิเวอร์พูลที่ก้าวข้ามกำแพงแห่งความไม่สม่ำเสมอที่เคยหลอกหลอนมาตลอด 2 ทศวรรษ

9 นัดสุดท้ายของฤดูกาลเก็บ 27 คะแนนเต็มไม่พลาดกระเด็นหลุดมือเลย

อดคิดไม่ได้เหมือนกันนะครับว่าถ้าย้อนกลับไปในฤดูกาลอื่นๆ เจอความกดดันบีบคั้นขนาดนี้ลิเวอร์พูลจะชนะรวดได้เหมือนที่คล็อปป์พาทีมบุกตะลุยกวาดเรียบเมื่อซีซั่นก่อนไหม

เกมดราม่าทั้งหลายอย่างที่เบียดเบิร์นลี่ย์ เฉือนฟูแล่ม เชือดสเปอร์ส ชนะเชลซี และสอยนิวคาสเซิ่ลหวิวในช่วงรันยาวนั้นจะต้องมีหลุดเสมอหรือแพ้สักเกมสองเกมหรือเปล่า

ถามความรู้สึกตัวเอง มันตอบผมตรงๆ ว่ามีแน่ อยู่ที่ว่าจะกี่เกมเท่านั้น..

ซีซั่น 2008/09 เสมออาร์เซน่อล 4-4 ในแอนฟิลด์

ซีซั่น 2013/14 แพ้เชลซีคาบ้าน เสมอคริสตัล พาเลซทั้งที่ออกนำ 3-0

มันต่างเกิดขึ้นในเกมชี้เป็นชี้ตาย ซึ่งสำหรับการเป็นแชมป์ลีกแล้วบางครั้งคุณไม่ได้รับอนุญาตให้สะดุดเลยแม้แต่เกมเดียว

หากลิเวอร์พูลเมื่อฤดูกาลก่อนก็สามาถผ่านมันไปได้ทั้งหมด เพียงพ่ายแพ้ความยอดเยี่ยมของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่อยู่เหนือการควบคุมเท่านั้นเอง

สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาไม่เพียงผ่านมันไปได้หมดเท่านั้น แต่ยังเติมความยิ่งใหญ่ด้วยแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ตอกย้ำความมั่นใจทิ้งท้ายฤดูกาลให้กับทุกๆ คนด้วย

แชมป์ยุโรปที่มาดริดเป็นกุญแจดอกสำคัญมาก มันปลดล็อกทุกอย่าง ปลดล็อกความอัดอั้น ปลดล็อกความเสียดาย ปลดล็อกความกังวล มันทำให้ทุกคนที่ลิเวอร์พูลก้าวเข้าสู่ช่วงปิดฤดูกาลด้วยความสุขและเชื่อมั่น ความฝันยังเรืองรอง ความหวังยังสุกสกาว

    จาก Doubter เริ่มเปลี่ยนเป็น Believer.. อีกครั้ง

แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ลิเวอร์พูลเดินเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ด้วยการทำให้ทุกคนสลัดภาพจำที่คอยหลอกหลอนทิ้งไปสิ้น เมื่อสานต่อผลงานสุดยอดจากฤดูกาลนี้แล้วอย่างมั่นคง ชนะ และชนะ และชนะ

17 เกมผ่านไปในฤดูกาลนี้มีทั้งเกมดราม่า เกมไม่ดราม่า เกมง่าย เกมยาก แต่ผลจะจบลงด้วยชัยชนะของลิเวอร์พูลเสมอ มีเพียงแมนฯ ยูไนเต็ดทีมเดียวเท่านั้นที่ได้คะแนนไปจากพวกเขา

    ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วลิเวอร์พูลทีมเดียวกันนี้กำลังอยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลาย..

ถูกควบคุมกิจการ มองไปทางไหนก็มืดมน กระทั่ง เซอร์มาร์ติน บรอจ์ตัน ได้รับแต่งตั้งเข้ามาเป็นประธานสโมสรเพื่อดำเนินการหาเจ้าของสโมสรรายใหม่แทน จอร์จ จิลเลตต์ กับ ทอม ฮิคส์ ที่ถูกศาลสูงสั่งให้ต้องขายสโมสรในราคา 300 ล้านปอนด์ ปูทางสู่การเข้ามาของ นิวอิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส (เปลี่ยนมาเป็น เฟนเวย์สปอร์ตส์กรุ๊ป หรือ FSG ในภายหลัง) เมื่อเดือนตุลาคมปี 2010

    9 ปีให้หลัง ลิเวอร์พูลทีมเดียวกันนี้เช่นกันอยู่ในสถานะแชมป์ยุโรป อยู่บนเส้นทางคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัย 19 ที่รอคอยมา 30 ปี อยู่บนชาร์ตจัดอันดับของฟอร์บส์ที่คำนวนมูลค่าสโมสรทะยานแตะ 2,180 ล้านปอนด์

ได้ผู้สนับสนุนชุดแข่งใหม่ที่พร้อมจ่ายให้คร่าวๆ ไม่น้อยกว่า 70 ล้านปอนด์ต่อปี ยังไม่รวมผู้สนับสนุนคาดหน้าอกและสปอนเซอร์เจ้าอื่นๆ ที่ต้องจ่ายหนักขึ้นตามความใหญ่ของสโมสร

มีงบลงทุน 114 ล้านปอนด์ต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่งเมนสแตนด์ ลงทุนอีก 60 ล้านปอนด์ต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่งแอนฟิลด์โร้ดสแตนด์พร้อมดีดความจุแอนฟิลด์เป็น 61,000 คน

กำลังจะย้ายไปใช้สนามซ้อมใหม่ขนาด 9,200 ตารางเมตรมูลค่า 50 ล้านปอนด์ที่เคิร์กบี้

มีเงินทุนซื้อนักเตะ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือมีทีมงานที่ใช้เงินดังกล่าวอย่างชาญฉลาด ทำการบ้านหนัก ศึกษาข้อดีด้อยและความเหมาะสมอย่างละเอียดยิบจนอยู่ในระดับที่ซื้อมาเมื่อไหร่รับประกันว่าคุ้มค่าทุกเพนนี

ในเดือนหน้าก็จะได้นักเตะทีมชาติญี่ปุ่นมาเสริมทัพอีกหนึ่งคนในราคาแค่ 7.25 ล้านปอนด์ ต่อให้ซื้อปุ๊ปขายปั๊บก็ยังน่าจะทำกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 4 เท่าตัว

นี่ล่ะครับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ ผมถึงรู้สึกว่าเดอะค็อปได้พบกับหนึ่งในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสโมสรแล้ว แม้ซีซั่น 2019/20 จะยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งทางและเรื่องแชมป์ที่รอคอยยังอยู่อีกไกล

ก็เพราะมันไม่เกี่ยวกับตำแหน่งแชมป์เลย สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทางต่างหากทำให้มันเป็นอย่างนั้น

เพราะการแสดงให้เห็นถึงแคแร็กเตอร์ที่ชัดเจน ชนะได้ในทุกสถานการณ์สมศักดิ์ศรีแชมป์ยุโรป แข็งแกร่งทุกจุดทั้งในสนามและนอกสนาม

เพราะกราฟที่พุ่งขึ้นไม่หยุดยั้งและการต่อสัญญาของคล็อปป์พร้อมคำพูดของเขาที่บอกว่า สัญญาฉบับใหม่ของเขาคือการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะนำความยิ่งใหญ่ในวันเก่าๆ กลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง

และ – ที่สำคัญที่สุด – เพราะเวลานี้เดอะค็อปกลายเป็น Believer เต็มตัวแล้ว จะมีอะไรที่วิเศษไปกว่านี้อีกหรือครับ..

อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> www.ufabetwinS.com

หน้าแรก >>> https://www.sterlingassociationmanagement.com