UFABETWINS   กาลครั้งหนึ่งยังไม่ค่อยนานเท่าไหร่

 

อังกฤษมียอดมิดฟิลด์ตัวกลางสายพันธุ์สิงโตคำราม 3 คน คือ พอล สโคลส์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และแฟร้งค์ แลมพาร์ด

สองคนแรกเป็นผลผลิตจากหยดอสุจิของ แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นดาวเตะระดับตำนานของสโมสร ขณะที่คนสุดท้ายเป็นเด็กสร้างของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ยุคโกลเด้น เจเนอเรชั่นอันประกอบด้วย ริโอ เฟอร์ดินานด์, โจ โคล, ไมเคิ่ล คาร์ริค, เจอร์เมน เดโฟ และเกล็น จอห์นสัน ที่กุนซือผู้ปลุกเสกพวกเขาอย่าง แฮร์รี่ เรดแน็ปป์ เคยเคลมว่าถ้าสามารถเก็บพวกเขาเอาไว้ด้วยกันได้หมด ทีมขุนค้อนก็มีสิทธิ์ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะในตำนานของ เชลซี

แต่ที่ถกเถียงกันวุ่นวายจนกลายเป็นปัญหาโลกแตกกระทั่งบัดเดี๋ยวนี้คือใครเก่งที่สุด?

อืมมมมม…นะ

ปัญหาโลกแตก!!?

ถ้าให้ตอบแบบกลางๆ หรือตอบแบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ก็ต้องบอกว่าเก่งพอๆ กันนั่นแหละ แถมเล่นกันคนละสไตล์ – ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบแนวไหน

และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือคุณเป็นแฟนบอลทีมไหน ???

เด็กผีก็ต้องบอกว่า พอล สโคลส์ นี่แหละมิดฟิลด์ตัวกลางที่เก่งที่สุด ขนาดระดับเทพอย่าง ซีเนดีน ซีดาน เวลาถูกถามถึงความยอดเยี่ยมของตัวเอง พี่แกยังไล่ให้ไปถามไอ้หัวแดงอั้งม้อของ แมนฯ ยูไนเต็ด เลย

เด็กหงส์ก็บอกว่า “โมฆะพ่อง” เอ๊ย! ไม่ใช่ เด็กหงส์ก็บอกว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ต่างหาก เพราะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นเดียวกับเป็นดาวเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล ขณะที่เด็กสิงห์ ยืนยันหนักแน่นโดยไม่จำเป็นต้องปรึกษาเด็กอ่างทองว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด คือหนึ่งในตองอู

    #สโคลส์

ตอนยังเป็นดาวรุ่งพุ่งกระฉูดแตกในทีมชุดใหญ่ของปีศาจแดงใหม่ๆ พอล สโคลส์ เริ่มต้นในตำแหน่งกองหน้า ก่อนถูก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปรับบทบาทเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางคู่กับ รอย คีน แล้วยึดอำนาจในพรีเมียร์ลีกอย่างอหังการยิ่งนัก

ปัญหาโลกแตก!!?

    พี่แกเป็นมิดฟิลด์เชิงรุกที่มีการวางบอลยาวอันแม่นยำแม่นยำเป็นอาวุธบวกกับความมุ่งมั่นและทุ่มเทแบบเต็ม 80 ตีนถีบ ถ้า เดวิด เบ็คแฮม ได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าพ่อลูกนิ่ง” ที่สามารครอสส์บอลจากริมเส้นหรือจากด้านข้างได้แม่นยำมาก พอล สโคลส์ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกตรงกลางที่วางบอลยาวจากแนวลึกได้ยอดเยี่ยมดีนักแล

จุดเด่นอีกอย่างคือตะบันประตูที่ทรงพลังอย่างแรง และหนักหน่วงปานภูผาถล่มทลาย

เมื่อสังขารไม่เอื้ออำนวยในช่วงปลายอาชีพค้าแข้งที่อายุมากขึ้น เขาถูกถอยต่ำลงมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ

แต่จุดอ่อนดันอยู่ที่การเล่นเกมรับซะอย่างนั้น

เนื่องเพราะนักเตะที่เพื่อนร่วมทีมเรียกอย่างน่ารักน่าตบว่า “สโคลซี่” ไม่มีเซ้นส์ในการเล่นเกมรับสักเท่าไหร่ จึงมักจะพุ่งเข้าเสียบคู่แข่งแบบทะลุดาร์กซ์อย่างทะเล่อทะล่าจนโดนใบแดงไล่ออกเป็นประจำ

    #เจอร์ราร์ด

ตอนเลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ใหม่ๆ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แนะนำตัวให้เด็กหงส์ทุกหมู่เหล่ารู้จักในตำแหน่งแบ็คขวา นาทีต่อมาถูกขยับเข้ามาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง – มิดฟิลด์ตัวรับ โทษฐานที่ยังเป็นเด็กหน้าใหม่ก็ต้องสวมบทเป็น “ลูกหาบ” ไปก่อน

ปัญหาโลกแตก!!?

บุคลิกการเล่นของ “พี่เจิด” นั้นอุดมด้วยความดุดัน ก้าวร้าว ใจเกินร้อย และถึงลูกถึงเมียแบบเสียบเป็นเสียบ หักเป็นหัก แถมเป็นมีความเป็นผู้นำสูง

วางบอลยาวจากตรงกลางแม่นยำ – เปิดบอลจากริมเส้นก็แม่นยำจนสามารถขยับออกไปเล่นเป็นปีกขวาก็ได้ มิหนำยังมีการยิงประตูที่เฉียบคมระดับบาดหินขาดอีกต่างหาก

ในช่วงที่ระเบิดฟอร์มได้อย่างสะเด่าไปเลยอีน้องส์มากที่สุดในอาชีพค้าแข้ง กุนซือหงส์แดงอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ จับสตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปเล่นในตำแหน่ง “หน้าต่ำ” หรือ “ผู้เล่นหมายเลข 10” ในระบบ 4-2-3-1 โดยมี เฟร์นานโด ตอร์เรส เป็นกองหน้าคู่ขา

ฤดูกาล 2008-09 ที่คุณพี่เขากระทุ้งไป 24 ดอก แบ่งเป็นในพรีเมียร์ลีก 16 ประตู ถือว่ามากที่สุดในการดำเนินอาชีพวิ่งไล่หวดลูกหนัง “สตีวี่ จี” ก็เล่นในตำแหน่งหน้าต่ำนี่แหละ

กระทั่งช่วงปลายอาชีพที่อยู่ในวัยใบไม้ล่วงกาลเวลา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ถอยเขาลงมายืนต่ำเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ หรือผมควรจะเรียกให้ดูดีมีชาติตระกูลตามยุคสมัยใหม่ว่า “ตัวโฮลด์บอล” อะไรนั่นดีกว่า เขาจังก้าอยู่หน้าแผงแบ็คโฟร์ทำหน้าที่ลงมารับบอลจากกองหลังไปแจกจ่ายพลางคุมจังหวะไปในตัว

“พี่เจิด” เป็นมิดฟิลด์ตัวรับ เอ๊ย! ตัวโฮลด์บอลที่ไม่ต้องวิ่งมาก ไม่ต้องไล่บดบี้ทำลายจังหวะคู่แข่งอย่างเปี่ยมด้วยพละกำลังเหมือนตอนหนุ่มๆ แต่ใช้หัวสมองในการเล่นมากขึ้นพลางงัดความจัดเจนออกมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม

อนิจจา…เพราะการเล่นในตำแหน่งนี้นี่แหละทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับเขาที่ แอนฟิลด์ ในเกมที่ 36 ของฤดูกาล 2013-14

ปัญหาโลกแตก!!?

    #แลมพาร์ด

หลังแจ้งเกิดกับ เวสต์แฮม ในฐานะมิดฟิลด์ดาวรุ่งไฟพะเนียงพวยพุ่ง เแฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ถูก เชลซี กระชากตัวไปร่วมทีมในฤดูกาล 2001-02

    ฤดูกาลแรกในเครื่องแบบสิงห์บลูส์ นักเตะผู้มีค่าตัวประมาณ 11 ล้านปอนด์คนนี้กลับโชว์ฟอร์มไม่ออกสักเท่าไหร่ โดยยิงในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 5 ประตูเท่านั้น

ฤดูกาลต่อมาก็เช่นกันที่เขายิงได้แค่ 6 ประตูจากการลงเล่น 38 นัดในพรีเมียร์ลีก ว่าแล้วก็ถูกแฟนบอลของ “เดอะ แฮมเมอร์ส” ทีมเก่าของตัวเองร้องเพลงล้อเลียนว่า “Waste of money” ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “น่าเสียดายเงิน”

ทว่าหลังจากการเดินทางมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของใครบางคนพร้อมความอหังการ

เขาทำให้ “แลมพ์” กลายเป็นมิดฟิลด์ระดับอ๋องที่มีความเอกอุที่สุดคนหนึ่งของวงการ

แฟร้งค์ แลมพาร์ด เล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวกลาง และ “หน้าต่ำ” ที่ทำงานหนักเหมือนที่พากย์เป็นภาษาอังกฤษว่า “บ๊อกซ์ ทู บ็อกซ์” นั่นแหละ จับบอล-จ่ายบอลนิ่มนวล

แต่จุดเด่นที่สุดกลับอยู่ที่การทำประตูมากกว่าการเปิดป้อน

ว่าแล้วก็ยิงให้ เชลซี ไปทั้งหมด 211 ประตู ขึ้นทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดอันดับหนึ่งตลอดกาลของทีมสิงห์บลูส์มากกว่าศูนย์หน้าคนใด นอกจากนี้ยังกระหน่ำไปถึง 177 ประตู ในลีกสูงสุดของอังกฤษ – อยู่ในอันดับ 5 ของดาวซัลโวตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก

ปัญหาโลกแตก!!?

ทางด้านของเกียรติประวัติ และความสำเร็จ

พอล สโคลส์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่มากไม่มาย แค่ 11 สมัยเท่านั้นเอง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย เอฟเอ คัพ 3 สมัย ลีก คัพ 2 สมัย และสโมสรโลกอีก 2 สมัย แต่ไม่เคยได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมหรือดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ “พีเอฟเอ” และไม่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์เลยสักครั้ง

ลงเล่น 718 นัด ยิง 155 ประตู

สตีเว่น เจอร์ราร์ด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย และลีก คัพ 3 สมัย โดยคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ “พีเอฟเอ” ในฤดูกาล 2005-06 และดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ “พีเอฟเอ” ในฤดูกาล 2000-01 รวมถึงอันดับ 3 รางวัลบัลลงดอร์ ปี 2005

ลงเล่น 748 นัด ยิง 191 ประตู

ปัญหาโลกแตก!!?

แฟร้งค์ แลมพาร์ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และยูโรปา ลีก 1 สมัย และอันดับ 2 รางวัลบัลลงดอร์ ปี 2005 (ปีที่ “เจิด” ได้อันดับ 3 นั่นแหละ)

ลงเล่น 915 นัด ยิง 274 ประตู

ทีนี้ถามว่าผมชอบใครมากที่สุด ???

แน่นอนว่าผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงอย่างผมย่อมต้องตอบว่า พอล สโคลส์ ตามหน้าที่ของเด็กผีที่ดี

แต่หากเลือกได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ผมขอกลั้นใจเลือก “พี่เจิด” โดยเฉือนไอ้หัวแดงเพลิงไปแบบเส้นยาแดงผ่าสิบหก ด้วยมองว่าพี่เขาเป็นผู้เล่นที่มากด้วยอิทธิพลต่อทีมสูง – มีความเป็น “จอมทัพ” ที่ชัดเจนกว่า และมีความเป็นซูเปอร์ฮีโร่แบบ “พระเอกขี่ม้าขาว” มากกว่า และมากที่สุด ส่วน แฟรงค์ แลมพาร์ด ผมว่าเขาเหมือนกองหน้าตัวที่ 2 ผู้มีหน้าที่ช่วยหัวหอกทำลายตาข่ายให้สิ้นซากซะมากกว่าเป็น “เพลย์เมคเกอร์” เหมือน พอล สโคลส์ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด

ปัญหาโลกแตก!!?

อย่างไรก็ตาม

    เรื่องใครเก่งกว่ากันระหว่างดาวเตะ 3 ตัวนี้คงเถียงกันวุ่นวายและขายปลาช่อนแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะมันขึ้นอยู่กับรสนิยม และความชอบของแต่ละคนนั่นแหละ

ล่าสุดเลยมีนักข่าวถามเรื่องนี้กับ พอล สโคลส์

อดีตดาวดังในตำนานของปีศาจแดงที่ปัจจุบันอายุ 45 กะรัตแล้ว ตอบว่า…

“เรียนตามตรงนะว่าผมเบื่อกับการได้ยินเรื่องประเภทนี้เต็มทีแล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย ทุกคนสามารถมีความเห็นของตัวเองได้ทั้งนั้น โดยทั้ง สตีวี่ จี กับ แฟร้งค์ ต่างเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่มีสไตล์แตกต่างกัน และเก่งกว่าผมแน่นอน”

นอกจากจะถ่อมตัวแล้ว คำให้การของ “สโคลซี่” พอจะจับใจความสำคัญได้ว่า…

กูเบื่อ !!!

 

 

คลิกเลย >>>  https://www.ufabetwins.com/

คลิกเลย >>>  https://www.sterlingassociationmanagement.com/