“ราชันมังกร” ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ยันพร้อมแล้วเกมนัดชิง พร้อมดวล “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ในเกมเอฟเอคัพ ที่สนามลีโอ สเตเดี้ยม วันที่ 2 พ.ย.นี้ โดยทีมแชมป์จะได้รับเงินรางวัล 5 ล้านบาท และยังได้รับสิทธิ์ไปลงแข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 2 ในปี 2020 โดยเกมนัดนี้จะมีการนำระบบ VAR เข้ามาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานแถลงข่าว เอฟเอ คัพ 2019 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง ราชบุรี มิตรผล เอฟซี พบ การท่าเรือ เอฟซี ที่จะเกิดขึ้นในสนามลีโอ สเตเดี้ยม วันเสาร์ที่ 2 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นครั้งแรก ที่จะมีการนำระบบ VAR เข้ามาช่วยผู้ตัดสินในการทำหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบ และมีมาตรฐาน ผ่านการรับรองของ IFAB เพื่อให้การแข่งขันมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และช่วยให้การตัดสินของผู้ตัดสินมีความน่าเชื่อถือ และทำให้แฟนบอลสบายใจกับการตัดสินของกรรมการมากขึ้น     โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ผู้จัดการทีมของ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี กล่าวว่า ”การท่าเรือเองเป็นทีมที่อาจได้เปรียบเล็กน้อย เพราะพวกเขาเพิ่งพลาดการคว้าแชมป์ลีกมา พวกเขาอาจมุ่งมั่นในถ้วยนี้ มีทรัพยากรที่ดีกว่าเรา แต่เราเองก็อยากจะได้แชมป์รายการนี้ เพื่อเป็นของขวัญให้กับแฟนบอลของเรา เกมนี้เราไม่กดดันครับ มันเป็นความท้าทาย เราทำผลงานได้ดีในการเจอทีมใหญ่ในถ้วยนี้ ผมมองว่าพวกเขาอาจจะกดดันมากกว่าเรา ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็จะมีมิตรภาพต่อกัน ในสนามเราเต็มที่ แต่นอกสนามเราคือเพื่อนกัน เจอกันวันเสาร์นะครับ”

ด้าน สระราวุฒิ ตรีพันธ์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของ การท่าเรือ เอฟซี กล่าวว่า ”นี่เป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาล นักบอลทุกคนก็พร้อมจะทำตามความฝัน นี่เป็น 10 ปีที่รอคอยกับถ้วยนี้ ส่วนนักเตะก็มีกลิ้ง (ศิวกร จักขุประสาท) คนเดียวที่โดนแบน ที่เหลือก็ไม่มีปัญหา พร้อมลงสนามครับ”

ฟาก เดวิด เอลเลเรย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของ IFAB กล่าวถึงการใช้งาน VAR ในเกมนี้ว่า ”สวัสดีครับ ในฐานะตัวแทนของ IFAB นี่เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้รับการเชิญมาในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ ทาง IFAB มีความยินดี ผมอยากแสดงความยินดีกับนายกสมาคม และไทยลีก ที่จะมี VAR มาใช้งานอย่างเป็นทางการเป็นเกมแรก การใช้งาน VAR เป็นเกมแรก เป็นการแสดงให้เห็นว่าไทยนั้นนำหน้าชาติเพื่อนบ้านที่ยังไม่ได้ใช้ VAR และไทยอยู่ในระดับเทียบเท่ากับญี่ปุ่น ที่มีการนำ VAR มาใช้ในเจลีกแล้ว”  สำหรับกติกาการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศนี้ ในเวลาปกติ แข่งขัน 90 นาที ครึ่งละ 45 นาที พักครึ่ง 15 นาที หากเสมอกัน ต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที โดยแบ่งเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที ไม่มีการพัก และถ้าหากยังเสมอกันอีก จะมีการดวลจุดโทษแบบ ABAB ทีมแชมป์จะได้รับเงินรางวัล 5 ล้านบาท และยังได้รับสิทธิ์ไปลงแข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 2 ในปี 2020

ส.บอลฯสั่งสอบเปาเกมท่าเรือบุกพ่ายบุรีรัมย์

ยังคงเป็นกรณีที่หลายคนให้การติดตามอย่างมาก จากเกมที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเอาชนะ การท่าเรือ เอฟซี 3-1 เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของคณะผู้ตัดสิน

ล่าสุดมีการปรากฏรายงานจากผู้ควบคุมการแข่งขันและรายงานผู้ประเมินผู้ตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินและผู้ช่วยผู้ตัดสินทั้งสิ้น 4 กรณี ในการนี้ คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาทฯ ได้พิจารณาจากรายงานของผู้ควบคุมการแข่งขัน, รายงานผู้ประเมินผู้ตัดสิน และคลิปเหตุการณ์ประกอบทั้ง 4 กรณีข้างต้นแล้ว สรุปประเด็นได้ว่า  กรณีที่ 1 นาสเซอร์ บาราซิต อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าหรือไม่

กรณีที่ 2 การเข้าปะทะของ ศศลักษณ์ ไหประโคน สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้กระทำฟาวล์ เซร์คิโอ ซัวเรซ ของการท่าเรือ เอฟซี หรือไม่

กรณีที่ 3 สุภโชค สารชาติ สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าหรือไม่ อย่างไร

และกรณีที่ 4 ในนาทีที่ 68 ผู้ตัดสิน นที ชูสุวรรณ ให้เป็นลูกได้เปรียบแก่ นาสเซอร์ บาราซิต ที่ถูกกระทำฟาวล์แล้ว เหตุใดจึงกลับมาให้เป็นลูกตั้งเตะแก่สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และเมื่อดูจากภาพช้า ศศลักษณ์ ไหประโคน อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าหรือไม่

ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาทฯ จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินพิจารณา และให้ส่งเรื่องกลับมายังคณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาทฯ เพื่อพิจารณาตามระเบียบต่อไป

 

 

 

คลิก  >>> https://www.sterlingassociationmanagement.com

 

 

 

ติดตามได้ที่ >>>  UFABETWINS